ไม่มีคำว่าปกติ เมื่อพูดถึงเทรนด์เทคโนโลยีของปี 2023 โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ ChatGPT เข้าสู่วงการ
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้วงการเทคโนโลยีต้องเขย่าขวัญ บริษัทที่พัฒนาหุ่นยนต์ต่างก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเกิดมาของเทคโนโลยีนี้ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ในการช่วยงานและการบริหารจัดการขององค์กรต่างๆ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือ หุ่นยนต์เอไอที่รับบทบาทเป็นประธานบริษัท ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีหุ่นยนต์ในบทบาทนี้ ซึ่งระบบการทำงานและความฉลาดทางศิลปะทำให้เหมือนมีจิตวิญญาณอย่างจริงจัง เช่น มิกะ (Mika) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Hanson Robotics จากฮ่องกง เธอไม่เพียงแค่ดูเหมือนมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการสร้างข้อมูลการสนทนาเช่นเดียวกับ ChatGPT ซึ่งทำให้เธอสามารถปฏิสัมพันธ์กับบุคคลได้ในระดับที่มนุษย์สามารถทำได้
มิกะได้รับหน้าที่เป็นซีอีโอทดลองให้กับบริษัท Dictador ผู้ผลิตเหล้ารัมชื่อดังในโปแลนด์ หน้าที่ของเธอไม่เพียงแค่การช่วยบริหารงาน แต่ยังรวมถึงการช่วยเลือกศิลปินในการออกแบบขวดและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น นับจากการช่วยเก็บข้อมูลและคัดรายชื่อลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นงานที่จำเป็นสำหรับการวางแผนการตลาด
แม้ว่ามิกะจะได้รับบทบาทที่สำคัญในบริษัท แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องการจ้างหรือไล่พนักงาน ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ยังคงอยู่ในมือของทีมผู้บริหารที่เป็นมนุษย์ เท่านั้น แม้กระนั้น เมื่อพูดถึงการทำงาน มิกะก็มีข้อได้เปรียบเหนือมนุษย์ในบางด้าน เช่น สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงและมีกระบวนการตัดสินใจที่มีระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นอิสระ ซึ่งทำให้เธอสามารถนำเสนอทางเลือกที่เป็นกลางและไม่มีอคติส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ่นยนต์นักบินจากเกาหลีใต้
หุ่นยนต์นักบินคล้ายมนุษย์จากเกาหลีใต้ ที่มีชื่อว่า ไพบ็อต (PIBOT) เป็นผลงานที่พัฒนาโดยทีมนักวิจัยจากสถาบันขั้นสูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ โดยไพบ็อตไม่เพียงแค่สามารถขับเครื่องบินได้เอง แต่ยังมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อีกด้วย
โครงการนี้ถูกนำโดย เดวิด ฮยอนชุล ชิม (David Hyunchul Shim) ผู้นำทีมวิจัย ซึ่งไพบ็อตถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการขับเครื่องบิน และมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมเครื่องบินได้เชี่ยวชาญ ไม่แพ้นักบินที่เป็นมนุษย์ เนื่องจากการผสมผสานระบบปัญญาประดิษฐ์แบบแชตจีพีที ทำให้ไพบ็อตสามารถจดจำแผนภูมิการนำทางทางอากาศได้ทั่วโลก
นอกจากนี้ ไพบ็อตยังสามารถจดจำขั้นตอนในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินทุกรูปแบบได้ อีกทั้งยังออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ เพื่อให้สามารถใช้มือควบคุมสวิตช์ต่างๆ ในห้องควบคุมเครื่องบินได้อย่างแม่นยำ แม้ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นเครื่องบินตกหลุมอากาศ ด้วยความสามารถเหล่านี้ ไพบ็อตมีความเสถียรภาพในการขับเครื่องบินมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้เร็วกว่านักบินที่เป็นมนุษย์
ทั้งนี้แม้จะยังไม่มีการทดสอบความสามารถในการขับเครื่องบินของไพบ็อตในสภาวะจริง แต่ได้มีการทดลองด้วยเครื่องจำลองการบินเท่านั้น โดยนักวิจัยมีแผนที่จะทดสอบกับเครื่องบินเบาในโลกแห่งความเป็นจริงในอนาคต และคาดว่าจะพัฒนาไพบ็อตให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายในปี 2026
หุ่นยนจ์ในด้านงานศิลปะและปัญญาประดิษฐ์
นอกเหนือจากนี้ ในด้านศิลปะและปัญญาประดิษฐ์ ได้มีการพัฒนาหุ่นยนต์นักวาดภาพซึ่งเป็นผลงานของศิลปินเชื้อสายจีน–แคนาดา ซูเกวิน ชอง (Sougwen Chung) ซึ่งก่อนหน้านี้ชองเคยเป็นนักวิจัยที่สถาบัน MIT สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซสต์ ส่วนหุ่นยนต์ที่ใช้ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะและปัญญาประดิษฐ์ โดยใช้หุ่นยนต์แขนกลที่เรียกว่า ดี.โอ.ยู.จี (D.O.U.G) ร่วมกับการใช้อุปกรณ์ตรวจจับคลื่นไฟฟ้าสมอง อีอีจี (EEG) โดยหุ่นยนต์นี้สามารถลงมือวาดภาพตามการอ่านค่าคลื่นไฟฟ้าสมองของศิลปิน และเคลื่อนไหวตามท่าทางการวาดภาพได้
ชองได้เริ่มการพัฒนาหุ่นยนต์นี้ตั้งแต่ปี 2015 โดยฝึกหุ่นยนต์จากข้อมูลการวาดภาพของตัวเอง ซึ่งทำให้หุ่นยนต์สามารถตอบสนองต่อรอยแปรงที่ลากไปบนผืนผ้า และสร้างความเชื่อมโยงเพื่อลงมือต่อเติมภาพ ทำให้สามารถสร้างผลงานศิลปะได้อย่างเป็นธรรมชาติ และมีการทำงานร่วมกันระหว่างคนและหุ่นยนต์มากกว่าเพียงการวาดภาพเพียงอย่างเดียว
หุ่นยนต์ที่มีการปรับปรุงด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ทั้งในด้านขับเครื่องบินและศิลปะ ได้เสนอเสนอความสามารถที่น่าสนใจและสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ในการผสมผสานเทคโนโลยีและศิลปะอย่างลงตัว ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://news.trueid.net/detail/JAQXOnlxLV1B